วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างต่อไป | บุพเพสันนิวาส BuppeSanNivas EP 13 | วันพุธ 4 เมษายน 2561

ตัวอย่างต่อไป | บุพเพสันนิวาส BuppeSanNivas EP 13 | วันพุธ 4 เมษายน 2561
https://youtu.be/tvfqSWnGM1Y
เรื่องย่อบุพเพสันนิวาส ตอนที่ 13

       
ค่ำคืนนั้น เกศสุรางค์กำลังจะล้มตัวลงนอนได้ยินเสียงแม่เรียกจึงชะงักหันมอง เห็นสิปางยืนอยู่หน้าเตียงก็ส่งเสียงเรียกดังว่าแม่จ๋า...ผินกับแย้มสะดุ้งลุกขึ้นมองเห็นแม่นายนอนเงียบ จึงลงนอนต่อ สิปางเข้าประคองหน้าเกศสุรางค์ยิ้มให้กำลังใจ เธอรีบถาม
“แม่มากับใคร...คุณยายล่ะคะ”
สิปางหันไปทางประตู ยายนวลยืนยิ้มกว้างอยู่ เกศสุรางค์โผเข้าไปกอดยายร่ำไห้ สิปางเข้ามาร่วมกอด ถามลูกเสียใจหรือที่แม่กับยายมาหา เธอส่ายหน้าบอกดีใจที่สุด สามคนแม่ลูกและยายพร่ำบอกความคิดถึงต่อกัน แม่กับยายยิ้มไม่มีน้ำตาสักหยด
“แม่รู้ว่าเกศคิดถึงแม่ คิดถึงคุณยาย แล้วก็คิดถึงใครอีกบางคนที่เขาอยู่แสนไกลแต่เขามาหาเกศไม่ได้ แม่ถึงมาหาเกศไง”
เกศสุรางค์หันมากอดแม่แนบแน่นขอให้อยู่ด้วยนานๆ สิปางบอกเดี๋ยวแม่กับยายก็ต้องกลับไปใส่บาตร หญิงสาวอ้อนยายนวลขอให้หยุดใส่หนึ่งวัน แต่ยายนวลบอกว่า
“ไม่ได้หรอกลูก พ่อเรืองฤทธิ์เขาคอย...” ขาดคำทุกอย่างก็มลายหายไป
เกศสุรางค์สะอื้นร้องเรียกแม่กับยายอย่าเพิ่งไป ผินกับแย้มเข้ามาแตะร่าง เธอผวาตื่น สองบ่าวถามอย่างห่วงใยว่าฝันร้ายหรือ...เกศสุรางค์หน้าเศร้าเมื่อพบว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน
รุ่งเช้า เกศสุรางค์ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าหมองเศร้า จะต้องไปเรียนการเรือนกับจำปา...เกศสุรางค์เห็นมีอุปกรณ์คือตะคันกับทวน และดินสอพองที่ซื้อมาจากละโว้ ตากแห้งแล้ว
“ข้าจักสอนออเจ้าอบร่ำแป้งดินสอพอง อบร่ำนี้ ต้องทำซ้ำๆสามวัน ตัวแป้งจักดูดเอากลิ่นหอมเข้าไปทำให้หอมทน แลต้องอบด้วยดอกไม้สดอีกสามวันจักได้หอมยิ่งขึ้นไป”
จากนั้นจำปาก็ให้เอากำยาน อบเชย กานพลู เปลือกชะลูด ลูกจันทร์ น้ำตาลทรายแดง ไม้จันทน์หอม และไม้กฤษณา ใส่ครกตำให้แหลกละเอียด แล้วเปิดโถเคลือบที่ใส่ชะมดเช็ด ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองๆ โดยสอนว่า ต้องฆ่าชะมดเช็ดด้วยน้ำมะกรูดหรือผิวมะกรูดสับละเอียดลนไฟใส่ลงไปให้สะตุฆ่าพิษ ชะมดจะละลายตัวแล้วจึงเอาไปผสมกับเครื่องร่ำที่ตำได้ในอ่างเคลือบ
“เอาทั้งหมดที่ตำได้มาผสมกับชะมดเช็ดหอมๆ มันจะหอมมาก เอาตะคันกับทวนมา...ตะคันวางข้างบน ทวนนี่วางตั้ง ผ้าขาวบางปิดอ่าง เราเรียกว่า แป้งร่ำกระแจะจันทร์”
เกศสุรางค์สูดกลิ่นหอมอย่างชื่นใจ จำปาย้ำว่าเป็นแม่หญิงจะออกเรือนต้องทำให้เป็นทุกอย่าง เพลาสั่ง บ่าวไพร่จักได้ไม่อายใคร อาหารต้องรู้จักปรุงแต่งทั้งคาวหวาน จักผูกมัดใจชาย ทุกอย่างล้วนเป็นเสน่ห์ของแม่หญิง...เกศสุรางค์ยิ้มรับคำ จำปาใจอ่อนเอื้อมมือไปลูบหัวอย่างเอ็นดู แต่พอเกศสุรางค์เอ่ยปากขอไปเยี่ยมจันทร์วาด ก็หดมือกลับทันที
ปริกกระแนะกระแหน “เห็นแม่นายใจดีไงเจ้าคะ เลยกำเริบใจ”
จำปามองปริกอย่างอ่อนใจกับปากของนาง ก่อนจะหันมาบอกการะเกดว่า ไปแล้วอย่าเถลไถลหรือก่อเรื่องที่ไหนอีก กำชับผินกับแย้มให้ดูแลนายให้ดี ทั้งสองก้มหัวรับคำ
เกศสุรางค์มาถึงเรือนของจันทร์วาด เห็นอุบะห้อยอยู่ทั่วเรือนก็ชื่นชมช่างมีฝีมือสุดยอดพร้อมยกนิ้วโป้งให้ ผินกับแย้มยกตาม จันทร์วาดกับบ่าวมองงงๆ...จันทร์วาดดักคอว่า ฟังภาษาเธอไม่รู้ความ แต่คิดว่าคงไม่ได้มาเพียงชื่นชมอุบะ เกศสุรางค์ยิ้มร่าที่นางรู้ทัน
ก่อนอื่นเกศสุรางค์แกล้งบอกว่าหิวหนมเพื่อจะให้บ่าวของจันทร์วาดออกไป แต่จันทร์วาดฟังไม่เข้าใจ เกศสุรางค์จึงพูดใหม่ว่า หมายถึงขนม จันทร์วาดจึงหันไปสั่งบุญกับเหมือนไปจัดเตรียม...ผินกับแย้มรู้งาน คลานถอยออกไปเช่นกัน เกศสุรางค์พูดกับจันทร์วาดทันทีว่า
“ข้าจะมาบอกว่า  ขุนเรืองตอนนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ งานการไม่ได้ทำ ตรอมใจสุดๆ” พอเห็นสีหน้านิ่งเฉยของจันทร์วาด ก็ถามย้ำ “แม่หญิงไม่เชื่อข้าเหรอ”
“เชื่อ ไม่มีเหตุผลให้ไม่เชื่อ” เกศสุรางค์ถามทำไมทำหน้าอย่างนั้น “เพราะข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดขุนเรือง จึงต้องให้ออเจ้ามาบอกข้า ข้ารับไมตรีขุนเรืองแล้ว มิได้ตัดรอนใดๆ”
เกศสุรางค์ชะโงกหน้ามากระซิบว่าขุนเรืองไม่รู้ จันทร์วาดติง ทำไมต้องยื่นจมูกเข้ามาในเรื่องที่มิใช่เรื่องของออเจ้า
“เพราะข้ารู้ว่าแม่หญิงจะต้องเชื่อแม่ของแม่หญิง ข้าต้องมาบอกแม่หญิงว่า นี่คือชีวิตของเรา เราต้องกำหนดเอง เรารักคนนี้อย่ามาบังคับให้เราแต่งกับคนอื่น เพราะคนที่จะเข้าหอคือเรา เราต้องเลือกเอง อย่ายอมให้เขาจับเราใส่ถุงชนกับใครเป็นอันขาด...ทำหน้าดีๆ บุญกับเหมือนมาแล้ว” เกศศุรางค์เห็นหน้าจันทร์วาดเหวอ กับภาษาแปลกแต่คิดว่าพอจะเข้าใจความหมาย
“ข้าควรทำอันใดล่ะ” จันทร์วาดกระซิบถาม
“โอเค...จะบอกให้...” เกศสุรางค์กระซิบว่าควรทำอย่างไรบ้าง จันทร์วาดตั้งใจฟังเต็มที่ พอเกศสุรางค์ จะกลับ จันทร์วาดเดินมาส่ง บุญกับเหมือนตามติด
เกศสุรางค์กระเซ้า เวลาไปเวจสองคนนี้ตามไปด้วยไหม สองบ่าวทำหน้างง จันทร์วาดจึงไล่สองบ่าวขึ้นเรือนไปก่อน แล้วหันมาบอกเกศสุรางค์ว่า สิ่งที่แนะนำตนไม่กล้าทำ เกศสุรางค์พูดยุให้กล้า จันทร์วาดขำ
“ออเจ้าพูดให้ข้าไม่เข้าใจได้เก่งมาก”
“ข้าก็งงเหมือนกัน เอางี้...ถามหน่อยเถอะแม่จันทร์วาดรักขุนเรืองไหม” จันทร์วาดตอบว่ารัก “แมนมาก ถ้ารักนะต้องทำ...คิดดูนะข้าไม่ได้ให้ทำอะไรเยอะแยะเลย แค่เนี้ยแลกกับได้ขุนเรืองมาครอบครอง คุ้มสุดๆ...ไม่เชื่อก็คอยขันหมากจากใครก็ไม่รู้ไปเถอะ อาจจะขาเป๋ ตาเหล่ แถมปากเหม็นอีกด้วย...ตามใจนะ ข้าไปล่ะ” เกศสุรางค์อ่อนใจเห็นสีหน้านิ่งเฉยของจันทร์วาด
พอเดินมาลงเรือ เกศสุรางค์บ่นกับผินกับแย้มว่าไม่สำเร็จ สองบ่าวทำท่าคอตกทิ้งแขนผิดหวังอย่างมาก เกศสุรางค์ขำว่าเว่อร์เกินไป ทั้งสองจึงลดท่าลง จันทร์วาด มองตามอย่างครุ่นคิด พอกลับเข้าเรือน บุญกับเหมือนพอจะรู้ว่าเกศสุรางค์มาบอกให้แม่นายพวกตนทำอะไร ก็เตือนว่าอย่าทำ เกรงต่อบาป จันทร์วาดรับว่าตนก็กลัว แต่สองบ่าวหวั่นใจเพราะเกศสุรางค์จะมายุทุกวัน
ด้านผินกับแย้มสงสัยทำไมแม่นายต้องไปเรือนจันทร์วาดทุกวัน เกศสุรางค์ร้องเป็นเพลง
“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แต่หัวใจอ่อนๆ...จะทนได้ไง จริงฤาไม่”
และแล้ววันต่อมา เกศสุรางค์ก็มาย้ำกับจันทร์วาดอีกจริงๆเพราะรู้ว่าเธอไม่กล้า แต่ด้วยเป็นห่วงขุนเรืองจะตรอมใจตายเสียก่อน จึงต้องมาตอกย้ำทุกวัน จันทร์วาด ชักวุ่นวายใจ แต่สองบ่าวบุญกับเหมือนก็คอยสะกิดเตือนว่าอย่าทำ มันบาป
วันต่อมาจำปาเริ่มสงสัยทำไมการะเกดต้องไปเรือนจันทร์วาดทุกวัน จึงเรียกผินกับแย้มมาถาม
เกศสุรางค์เห็นเช่นนั้นก็รีบจ้ำมาลงเรือ สั่งจ้อยพายไปทันทีไม่รอสองบ่าวคู่กาย จ้อยลังเล เธอจึงหยิบพาย จ้อยคิดว่าจะพายเอง แต่นางกลับจะแพ่นกบาลเขา จ้อยจึงรีบพายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อประจันหน้ากับจันทร์วาด นางขอร้องให้หยุดบีบคั้นเสียที เกศสุรางค์จึงพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า ถ้าอยากฆ่าขุนเรืองให้ตายทั้งเป็นก็ตามใจ จันทร์วาดหน้าเสีย เกศสุรางค์บ่น
“มันอะไรนักหนาแม่จันทร์วาด แค่แกล้งทำเป็นป่วยหนัก ข้าวปลาไม่กิน ไม่พูดไม่จาปล่อยตัวทรุดโทรม แล้วบ่นว่าอยากตาย...อยากตาย แค่เนี้ยทำไม่ได้”
จันทร์วาดว่าโกหกเป็นบาป เกศสุรางค์ปลอบว่าแบบนี้เรียกว่าโกหกขาว ทำเอานางงุนงง
เช้าวันใหม่ จำปาเห็นการะเกดออกมาจากห้องก็ถามจะไปอีกหรือ นางกลับเดินมานั่งร่วมวงช่วยทำงาน ปริกเหล่มองแขวะว่าน่าปวดกบาล สงสัยไปก่อเรื่องไว้จนจันทร์วาดไม่ต้อนรับ
 ในขณะเดียวกัน เรือนคุณหญิงนิ่มกำลังต้อนรับขุนนางระดับสูง ที่พาเถ้าแก่มาสู่ขอจันทร์วาดให้ลูกชายที่ขี้เหร่ตัวเตี้ยหัวล้านอย่างที่เกศสุรางค์คาดเดาไว้ ขุนนางผู้นี้ไม่รังเกียจฐานะของสองแม่ลูก...คุณหญิงนิ่มดีใจรีบมาบอกลูกสาวในห้องเมื่อทุกคนกลับไป แต่พอเห็นลูกนอนซมไม่สบาย แถมยังบ่นว่าอยากตาย...อยากตายก็ตกใจ
ด้านเกศสุรางค์ให้จ้อยไปตามขุนเรืองมาพบ กว่าเขาจะมาได้ เธอต้องบ่นว่าเขาบื้อพอกับเรืองฤทธิ์จริงๆ... แล้วสาธยายถึงแผนการให้ฟัง ย้ำว่างานนี้เขาต้องลงทุนหน่อย ขุนเรืองทำตามคำแนะนำ หอบข้าวของมาเยี่ยมคุณหญิงนิ่มมากมาย  คุณหญิงแววตาวูบดีใจแต่ยังวางท่าปั้นปึ่ง
 มีคนฝรั่งมาคุยกับฟอลคอนที่บ้านท่าทางเคร่งเครียด มารีแอบฟังแล้วต้องใจหาย...วันต่อมา มารีรีบมาหาเกศสุรางค์ บ่าวไพร่ในเรือนมองอย่างไม่เคยเห็นฝรั่งมาก่อน จำปารับไหว้แล้วต้องปรามบ่าวให้เลิกมอง ปริกแอบนินทาว่าแต่งตัวกะรุงกะรัง จำปาสัพยอกให้ปริกลองแต่ง
“อุ๊ย...อายผีสางเทวดา แค่คิดก็ก้าวไม่ออกละเจ้าค่ะ” ปริกหัวเราะน้ำหมากย้อย
จำปาแย็บถามสังเกตอะไรบ้างไหมว่านางมีสีหน้ากังวลใจ คงเอาเรื่องผัวมาใส่หูการะเกดอีก ปริกสงสัยหน้าที่ใหญ่โตจะมีเรื่องกังวลอันใด จำปาเอง ก็อยากรู้
 เกศสุรางค์พามารีมาคุยในที่ลับตาคน แล้วต้องตกใจเมื่อรู้ว่าฟอลคอนคุยกับฝรั่งว่าคณะทูตกลับมาครานี้ จักนำทหารมาด้วยหกร้อยคน ช่วงนี้ขุนหลวงประชวรบ่อย พวกข้าราชการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้านายก็แบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก เกศสุรางค์ถามอย่างกังวล
“ฝ่ายเจ้านายมีใครบ้างตองกีมาร์ พระปีย์ใช่ไหม”
“เจ้าฟ้าอภัยทศ พระอนุชาอีกฝ่ายหนึ่ง”
เกศสุรางค์รู้ว่าอีกฝ่ายคือพระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ แล้วย้อนถามว่าฟอลคอนคิดทำการอะไร มารีส่ายหน้าไม่สบายใจเลย  ถ้าการเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มานับถือพระผู้เป็นเจ้า ต้องใช้เลือดเนื้อมาแลกมันไม่ถูกต้อง และตนเกรงว่าฟอลคอนจักมิได้ศรัทธาพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาต้องการคืออำนาจเงินทอง เท่านั้น...เกศสุรางค์หยั่งเชิงถามว่าฟอลคอนเป็นคนนัดแนะให้ทหารฝรั่งเศสมาหรือเปล่า มารีไม่รู้แต่ที่แน่ๆ คือตนยึดมั่นในความถูกต้อง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมดจักเป็นการว่าร้ายต่อผัวเจ้าได้ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องรู้ความให้จริงนะแม่มารี...เอาเถิด กว่าคณะทูตจักเดินทางกลับก็คงพอทำกระไรได้บ้าง หากเจ้าสามารถพูดจาดีๆเกลี้ยกล่อมผัวเจ้าให้อยู่ในทางที่ดีงามได้ ก็เป็นการดีกับเจ้านะ ออเจ้าเองก็นับถือในพระผู้เป็นเจ้า พระองค์สอนถึงความรัก แม้แต่ความรักที่ให้กับศัตรู แต่เขาเป็นผัวเจ้าเชียวหนา บางทีความรักอาจจักช่วยลดความเห่อเหิมในจิตใจของเขาได้ ข้าอยากให้เจ้าเอาไปคิดดู”
“เจ้าพูดว่าเขาเห่อเหิม เจ้ารู้มาว่าผัวข้าจักทำสิ่งใดไม่ดีใช่ไหม แม่การะเกด”
“มิใช่ข้าหรอกแม่มารี พระยาวิไชยเยนทร์ผัวเจ้ามีอำนาจนักเพลานี้ ใครๆก็ย่อมสงสัยว่าเขาจะทำอะไร แน่นอนไม่มีใครคิดว่าเป็นในทางดี ยิ่งถ้ารู้ว่าเขาให้ทหารฝรั่งเศสมาตั้งมากมายแบบนี้ก็ต้องทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง”
มารีกังวลในเรื่องนี้ถึงได้มาบอก ไม่อยากให้ถึงเลือดถึงเนื้อถึงความตาย เกศสุรางค์จึงขอให้มารีจับตาดูฟอลคอนไว้ อย่าให้ทำอะไรที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง
“ถ้าเจ้ายึดมั่นความถูกต้องนะแม่มารี ต่อไปเจ้าจะไม่อายฟ้าอายดิน ใครจะรู้ว่ามันอาจทำให้เจ้ามีชื่อจารึกไว้...ต่อไปอีกเป็นสิบเป็นร้อยปี อาจยังมีคนจดจำเจ้าได้ไม่ลืม” เกศสุรางค์พูดทำนองรู้กาลข้างหน้า แต่ไม่สามารถบอกได้ มารีรู้สึกเลื่อมใสความคิดของการะเกด
พอมารีกลับไป เกศสุรางค์ก็นำความมาบอกออกญาโหราธิบดี...วันต่อมาระหว่างรอเข้าเฝ้าขุนหลวง ออกญาโหราธิบดีเล่าเรื่องที่มารีบอกให้พระเพทราชากับ
หลวงสรศักดิ์ฟัง สองพ่อลูกเชื่อว่าฝรั่งสัญชาติไพร่อย่างฟอลคอนต้องคิดไม่ซื่อแน่
หลายวันผ่านไป ปริกกลับจากตลาดเห็นบ่าวไพร่ทำอาหารกันอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจ จึงเปรยว่าถ้าตนบอกว่าขุนศรีวิสารวาจากลับมาคงจะตื่นเต้นกัน พริบตาเดียวทุกคนในครัววิ่งพรวดออกไป เหลือปริกยืนโด่เด่อยู่คนเดียว
เกศสุรางค์ทัดดอกไม้ที่หูเดินออกมาจากห้อง
ไม่ฟังคำทัดทานของผินกับแย้ม พอเจอจำปาจึงโดน
เล่นงานว่าทำแบบนี้มีแต่ผู้หญิงงามเมือง หญิงสาวโต้เถียงว่าเรารู้แก่ใจว่าเราไม่ใช่ เดินอยู่แต่ในบ้านไม่เสียหายอะไร จำปาสะอึกที่โดนย้อนลมขึ้นเรอเอิ้กๆ...
บ่ายคล้อย ออกญาโหราธิบดีกับจำปานั่งรอคอยด้วยท่าทางพยายามสงบความตื่นเต้น ปริกเดินแทรกบ่าวไพร่เข้ามานั่งแทบเท้าจำปาสีหน้าเซ็งทำนองไม่มีใครรอ เกศสุรางค์เองก็ตื่นเต้นพึมพำว่าหมอนของตนป่านนี้จะเน่าแค่ไหน ทันใดขุนศรีวิสารวาจาเดินขึ้นเรือนพร้อมกับกอดห่อหมอนมาด้วย สบตาเกศสุรางค์ด้วยแววตาระยับ บ่าวไพร่เห็นแล้วอมยิ้มตามๆกัน
ขุนศรีวิสารวาจาเข้ามากราบพ่อกับแม่ เกศสุรางค์ทักว่าเขาดูขาวขึ้น ท่านขุนหันมาเผชิญหน้า บอกทางโน้นไม่มีแดด มีแต่ลมหนาว ว่าแล้วกอดกระชับหมอน
ให้เห็น หญิงสาวสะเทิ้นอายเสียเอง จำปาแทรกว่าให้การะเกดไปจัดของว่างและน้ำชาให้ท่านขุน
ระหว่างที่เกศสุรางค์จัดวางของว่างและน้ำชาตรงมุมหนึ่ง ขุนศรีวิสารวาจานั่งจ้องมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ออเจ้าดูสมบูรณ์ขึ้นหนา มิผอมเกร็งอย่างแต่ก่อน”
“หือ...แปลว่าอ้วนเหรอเจ้าคะ” เกศสุรางค์ก้มสำรวจตัวเอง
“มิอวบอ้วนดอก มีน้ำมีนวลกำลังงาม”
“แหมใจหายเลย คุณพี่เป็นกระไรบ้างเจ้าคะ เจ็บไข้บ้างไหมเจ้าคะ อากาศหนาวอย่างนั้น”
“มิเป็นอันใดดอก คงเพราะได้เสื้อบุนุ่นของออเจ้าจึงอุ่นสบายดี ข้ามีบางสิ่งจักให้ออเจ้าด้วยหนา” ท่านขุนส่งกล่องไม้สลักลวดลายแบบฝรั่ง
เกศสุรางค์ตื่นเต้นคาดว่าเป็นเครื่องเพชรราคาแพงหรือน้ำหอมเมืองฝรั่ง แต่พอเปิดกล่อง กลับเห็นสมุดแบบเมืองนอก ก็ทำหน้าผิดหวังงงๆ ท่านขุน
แย็บว่ามิได้หอบนางฝรั่งมาหรือยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งคนใดเลย หญิงสาวบิดมือเขินอายพึมพำว่า...น่ารัก
พอได้กลับเข้าห้อง เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดที่ท่านขุนให้ เป็นบันทึกเรื่องราวที่อยู่ฝรั่งเศส แม้ลายมือนั้นจะอ่านยากก็พยายาม...1 กันยายน จ.ศ. 1048 กำหนดการให้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ท้องพระโรงใหญ่พระราชวังแวร์ซาย ในห้องกระจกเป็นห้องหินอ่อนมีหน้าต่างบุด้วยกระจกเจียระไนสูงแต่พื้นจดเพดานด้านละ 17 บาน
“โห...นับด้วยเชื่อเขาเลย...ระย้าแก้วเจียระไน อะไร...อ๋อ แชนเดอเลียร์ จุดเทียนสว่างไสวห้อยย้อยจากเพดาน สวยงามแพรวพราวไปทั้งห้อง สมชื่อห้องกระจก...โถ จดมาละเอียดลออนะพ่อคุณ...พอกรมวังเบิกตัวคณะทูต ท่านราชทูตคุกเข่านำคณะคลานเข้าไป พนมมือถวายบังคมแบบเบญจางคประดิษฐ์” เกศสุรางค์เงยหน้าระลึก “คุณพี่ขุน...ข้าเคยเห็นในรูปภาพเหมือนอย่างนี้ ทุกคนแต่งเต็มยศใส่ลอมพอก
กราบ เบญจางคประดิษฐ์”...
ด้านหน้าห้อง ผินกับแย้มคุยกันว่าแม่นายจะอ่านอย่างนี้ทั้งคืนหรือไม่ แล้วอดปลื้มปริ่มว่าท่านขุนรักแม่นายเหลือเกิน ถึงขนาดบันทึกมาอยากให้นางได้เห็นอย่างที่ท่านเห็น
ด้านขุนศรีวิสารวาจาเห็นออกญาโหราธิบดีมีท่าทางป่วยไข้ก็ถามไถ่อย่างห่วงใย ท่านบอกสามวันดีสี่วันไข้มิเป็นกระไรมาก แล้วเปรยว่าลูกไปเกือบสองปี ที่นี่มีเรื่องมากมาย “เกิดกบฏมักกะสันของพวกแขกจาม หากแต่พระวิไชยเยนทร์ผัวนางตองกีมาร์ได้กำราบเสียสิ้น อำนาจฝรั่งผู้นั้นเริ่มล้นเหลือ สึกพระไปสร้างป้อมสร้างกำแพงเสียมากมาย พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรบ่อยครั้ง ก็มีเพียงพระวิไชยเยนทร์แลพระปีย์ที่พระองค์ท่านทรงเรียกหาให้เข้าเฝ้า” ขุนศรีวิสารวาจาแปลกใจว่าใคร ออกญาบอกว่ายศใหม่ที่ฟอลคอนได้รับหลังจากปราบกบฏมักกะสัน ท่านขุนนึกได้ว่าเคยได้ยินการะเกดพูดชื่อนี้ ออกญาสบตาลูกอย่างฉุกคิดบางอย่าง
ค่ำนั้นเกศสุรางค์ยืนยิ้มมองจันทร์ คิดถึงคำพูดของท่านขุนที่ว่า มิได้หอบนางฝรั่งมาแลมิได้ยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งคนใด คิดแล้วก็ทำท่าเขินพึมพำ “บื้อจัง แต่ก็...น่ารักเป็นบ้า”
พอหันกลับมาก็ชนเข้ากับขุนศรีวิสารวาจาจนเซ เขารวบตัวเธอไว้ทันแล้วถามออกมาทำไม ฝนเพิ่งซาเม็ด เธอจึงย้อนถามเขาเช่นกัน แล้วกระเซ้าหรือคิดถึงตน ท่านขุนอมยิ้ม
“ข้ามาดูดวงจันทร์ ดูที่อื่นไม่ชัดเท่าตรงนี้”
“หืม...ที่เมืองฝรั่งไม่มีดวงจันทร์หรือเจ้าคะ น่าจะมองเห็นอยู่ทุกคืนนะเจ้าคะ”
ท่านขุนตอบว่าเห็น แล้วเบนสายตาหนี หญิงสาวขำแกล้งเอาไหล่กระแทกไหล่เขาและดักคอว่า คิดถึงตนก็บอกมา ท่านขุนนิ่งไปสักพักก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
“ไม่มีวันใดที่ข้าไม่ระลึกถึงเจ้า” ว่าแล้วก็เดินจากไป
“ร้ายนักนะ...แต่ก็น่ารักดีแฮะ” เกศสุรางค์หัวเราะไล่หลัง เก็บความวาบหวามไว้ทั้งคืน
รุ่งเช้า เกศสุรางค์ใส่บาตรเสร็จ ผินกับแย้มกระซิบถามว่าเมื่อคืนฝันดีหรืออย่างไร ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ แล้วถามว่าฝันอะไร หญิงสาวตอบขำๆว่า ฝันว่ามีคนมาปิ๊ง...
“ปิ้งหรือเจ้าคะ?” ผินถามหน้าตาเหลอหลา
“ปิ๊ง...ไม่ใช่ปิ้ง ปิ้งก็ไหม้หมดน่ะสิ”
สองบ่าวหัวเราะน้ำหมากย้อย ขุนศรีวิสารวาจาเดินเข้ามาบอกให้ผินกับแย้มขึ้นเรือนไปก่อน ทั้งสองรีบเดินออกมาแล้วทำมือโอเคให้กัน จ้อยเห็นงงๆ ทั้งสองจึงสอนให้จ้อยทำด้วย
ขุนศรีวิสารวาจากับเกศสุรางค์ยืนมองสายน้ำ
และเรือที่พายผ่านไปมา มีม่วงนั่งรอในเรือที่ท่าน้ำ
ท่านขุนกล่าวขึ้นว่าตนต้องไปแล้ว หญิงสาวรู้ว่าจะไปเข้าเฝ้าขุนหลวง เขาพยักหน้า
“วันนี้โปรดให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ อ่านเรื่องราวที่ไปเยือนฝรั่งเศส...คุณอาขุนปานเป็นผู้บันทึก แลให้ข้าเป็นผู้คัดลอกข้อความ”
“อ้าว...ที่เขียนในสมุดให้ข้านั่น ลอกจากอาขุนปานหรือเจ้าคะ” เกศสุรางค์ฉงน
“ข้อความในนั้นข้าเขียนเองทุกคำ...ความระลึกถึงของผู้ใดจักใช้คำของผู้อื่นได้เล่า โดยเฉพาะที่มีอยู่เต็มหัวอกจนต้องหาที่ระบายออก หาไม่คงจักอัดแน่นจนเจ้าของหัวอกนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปมิได้” เกศสุรางค์ฟังแล้วสะท้านใจ “หนาวหรือเจ้า...ข้าอยากได้ยินเสียงหัวใจของออเจ้า” เกศสุรางค์ส่ายหน้าไม่อาจสู้สายตาท่านขุนได้ ก้มหน้าเขินอาย ท่านขุนจึงบอกว่า “เมื่อถึงครา...ออเจ้าก็มิใช่คนเก่งอันใดเลย...เพลา
ค่ำนี้จักมาฟัง”
ท่านขุนพูดจบเดินไปลงเรือ เกศสุรางค์โบกมือ ท่านขุนส่ายหน้าเบาๆปรามแต่เธอยังโบกไม่หยุด ท่านจึงเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะโบกมือตอบด้วยกิริยาเคอะเขิน...ม่วงแอบหัวเราะจึงโดนเอ็ด เสียงเกศสุรางค์ตะโกนบอกให้เขากลับเร็วๆ ท่านขุนยิ้มแก้มแทบปริ
พอกลับขึ้นเรือน เห็นจำปากำลังสั่งบ่าวไพร่ค้นหาของจ้าละหวั่น ผินกระซิบบอกว่าสร้อยหรือจี้ฟังไม่ถนัดของแม่นายหาย...จำปาบ่นพึมว่าต้องมีคนใกล้ตัวเอาไป ปริกได้ยินสะดุ้งถามสงสัยตนหรือ จำปาว่ามีเหตุให้สงสัยเพราะปริกเข้าออกห้องตนได้ตลอดเวลา ปริกน้อยใจเถียงก่อนจะเดินหนี จำปาสั่งเสียงเข้มให้นั่งอยู่ เกศสุรางค์รีบเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
“คุณป้าเจ้าขา แม่ปริกไม่ได้เอาไปหรอกเจ้าค่ะ เพราะแม่ปริกไม่มีนิสัยขโมยหรอกเจ้าค่ะ”
“ก็ยังไรเล่า ข้าถามอยู่นี่” คุณหญิงจำปาร้อนใจจนกลายเป็นดุดัน ในขณะที่ปริกตาโพลงไม่เชื่อหู
“ข้าก็จะตอบอยู่นี่ไงเจ้าคะ คนขโมยคือคนทำผิด เขาจะกลบความผิดเจ้าค่ะ คือเขาจะทำดีกับทุกคน เขาจะไม่ว่าใคร ไม่ทะเลาะกับใคร เขาจะดีกับทุกคน พอของหายก็จะไม่มีใครสงสัยเขาเจ้าค่ะ พอคนไว้ใจเขาแล้วเขาก็ขโมยเจ้าค่ะ”
“แล้วนังปริกมันเป็นไง”
“เป็นคนปากร้ายไงคะ ไม่ดีกับใครซักคน” มีเสียงแย้งว่าดีกับบุ้ง “เพราะบุ้งเป็นลูกไล่ของแม่ปริกตลอดมา”
ปริกไม่รู้จะทำหน้าดีใจหรือเสียใจดี แต่คุณหญิงจำปายังสงสัยปริก เกศสุรางค์บอกบ่าวทุกคนไปเดินค้นหาให้ทั่ว ตั้งแต่ท่าน้ำยันเรือน เน้นทุกหย่อมหญ้า
บ่ายวันนั้น เกศสุรางค์กลับมานั่งอ่านสมุดบันทึกของท่านขุนต่อ ถึงพิธีถวายสาส์น ท่านขุนบรรยายความสง่างามของพระวิสุทธสุนทรจนเห็นภาพ...แล้วต่อด้วยว่าวันนี้ว่างทั้งวันไม่มีงานการใด เหงาจนคิดถึงออเจ้าเหลือเกินแม่การะเกดของพี่...เกศสุรางค์ยิ้มหน้าบาน ไม่ทันไรผินวิ่งเข้ามารายงานว่าเจอสร้อยของคุณหญิงจำปาแล้ว ตกอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ แล้วชวนให้ไปดูหน้าปริก
ปริกนั่งร้องไห้กระซิก คุณหญิงจำปาบ่นว่าจะอะไรนักหนา มันก็ต้องสงสัยไว้ก่อน พอเกศสุรางค์เดินมา ปริกเข้าไปกราบ เกศสุรางค์ตกใจรีบห้าม ปริกรำพันว่าตนมองคนผิดไปถึงสองคน แล้วค้อนคุณหญิงจำปาขวับ...

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

เรื่องย่อบุพเพสันนิวาส

เรื่องย่อบุพเพสันนิวาส

อำนาจเหนือดวงจิตเป็นดังบุพเพสันนิวาส ที่นำพาดวงใจสองดวงให้มาบรรจบกัน ดุจดั่งความรักของ เกศสุรางค์ นักโบราณคดีสาวร่างอ้วนวัย 25 ปี ที่มีหน้าตาสุดแสนธรรมดา ทว่าเธอเป็นคนมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดี และมีความรู้ด้านโบราณคดี และภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างดี เธอจึงเป็นที่รักของคนใกล้ชิด แต่ผู้ที่เกศสุรางค์อยากได้รับความรักจากเขามากที่สุดก็คือ เรืองฤทธิ์ เพื่อนสนิทที่คบกันมานานหลายปี แต่เพราะคิดว่าเรืองฤทธิ์คงไม่สนใจคนหน้าตาธรรมดา ๆ แถมยังอ้วนจนหน้าเกลียด เกศสุรางค์จึงต้องเก็บงำความรักที่มีต่อเขาเรื่อยมา เพื่อรอคอยวันที่เธอจะกล้าเผยความในใจกับเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าวันนั้นจะมาไม่ถึง
เพราะวันหนึ่งขณะที่เกศสุรางค์และเรืองฤทธิ์เดินทางกลับจากไปทำงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รถตู้เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ส่งผลให้เกศสุรางค์เสียชีวิตคาที่ ! ขณะเดียวกัน ณ อีกช่วงกาลหนึ่งย้อนเวลาไป 333 ปี ใน พ.ศ. 2225 รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นเมื่อ แม่หญิงการะเกด สาวสวยแต่จิตใจร้ายกาจ สั่งให้ ผิน กับ แย้ม สองบ่าวผู้ซื่อสัตย์ไปล่มเรือของ แม่หญิงจันทร์วาด เหตุเพราะไม่พอใจที่เห็นจันทร์วาดชม้ายชายตาให้ หมื่นสุนทรเทวา หรือ พ่อเดช คู่หมั้นของการะเกด แล้วแผนร้ายครั้งนี้ก็ทำให้บ่าวของแม่หญิงจันทร์วาดจมน้ำตายไปหนึ่งคน แต่แม่หญิงจันทร์วาดรอดชีวิต

ออกญาโหราธิบดีไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นฝีมือของการะเกด หมื่นสุนทรเทวาจึงต้องหาทางพิสูจน์ด้วยการร่ายมนต์กฤษณะกาลี ซึ่งเป็นมนต์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ สาปแช่งผู้ที่คิดร้ายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มีอันเป็นไป แล้วก็เป็นไปตามคาด มนต์กฤษณะกาลีทำให้การะเกดทุรนทุรายจนสิ้นใจตาย โดยมีผินกับแย้มเท่านั้นที่เฝ้าร่างไร้ลมหายใจของการะเกดอยู่ทั้งคืน เพราะไม่กล้าไปบอกใครว่านายของตนตายแล้ว ด้วยฤทธิ์ของมนต์กฤษณะกาลี เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนรู้ว่านายของตนเป็นผู้วางแผนทำร้ายแม่หญิงจันทร์วาดจริง ๆ
วิญญาณของการะเกดได้ไปพบกับวิญญาณของเกศสุรางค์ การะเกดสำนึกในการกระทำเลวร้ายของตัวเอง เธอจึงอ้อนวอนขอให้เกศสุรางค์ทำดี แก้ไขความผิดที่เธอเคยทำเอาไว้แทนด้วย ก่อนที่วิญญาณของการะเกดจะเลือนหายไป เมื่อเกศสุรางค์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตัวเองมาอยู่ในร่างของแม่หญิงการะเกด การะเกดคือเกศสุรางค์ สาวร่างอ้วนที่จิตใจดีมีเมตตา การเปลี่ยนแปลงเหมือนเป็นคนละคนของแม่หญิงการะเกด จากวาจาผรุสวาทเป็นเนืองนิตย์กลายเป็นวาจาอ่อนหวานไม่ถือตัว ซึ่งร้อยวันพันปีการะเกดตัวจริงไม่เคยกระทำ
นับวันเกศสุรางค์ในร่างของแม่หญิงการะเกด ก็เป็นความเคยชินของหมื่นสุนทรเทวาที่จะพูดคุยด้วยที่จะพาไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ในอยุธยา ที่จะตอบคำถามมากมายหลายเรื่องที่เกศสุรางค์สรรหาขึ้นมาถาม ความอยากรู้อยากเห็นของเกศสุรางค์ส่งผลต่อความกระตือรือร้นของหมื่นสุนทรเทวาที่จะตอบ และอธิบาย คำพูดเฉลียวฉลาดฉะฉาน ไม่มีทีท่าเอียงอาย หรือทอดสะพานอย่างที่เคยเป็น แววตาซื่อตรงที่จ้องจับ และคอยฟังคำตอบจากเขา หมื่นสุนทรเทวาไม่รู้ตัวว่าความเกลียดชังแต่ก่อนหายไปไหนหมด ความรู้สึกที่มาแทนที่คือความสนใจไยดี อาทรห่วงหา และร้อนรุ่มยามเธอมีใครอื่นมาสนใจใกล้ชิด ใครคนนั้นไม่ใช่คนเดียว ความหงุดหงิดจึงเป็นทวีคูณ คนแรก หมื่นเรืองราชภักดี เพื่อนสนิท ที่ดูจะสนใจแม่การะเกดเป็นพิเศษ และแม่การะเกดก็ดูจะมีไมตรีตอบ แต่หมื่นสุนทรเทวาไม่รู้สาเหตุว่าเพราะหมื่นเรืองราชภักดีนั้นหน้าตาเหมือนเรืองฤทธิ์ เพื่อนชายที่เกศสุรางค์หลงรักอยู่



เกศสุรางค์ยังพบว่าตนเองตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบบุคคลที่เธอรู้จักใกล้ชิดสนิทสนม ได้รับรู้รายละเอียดความเป็นไปในชีวิตคือ ท้าวทองกีบม้า หรือ แม่มะลิ หญิงสาวลูกครึ่งแขก-ญี่ปุ่น ทั้งสองรู้จักกันเพราะฟานิก พ่อของแม่มะลิ ถูกหลวงสุรสาคร ข้าราชการชาวกรีก และฝรั่งคนสนิท ข่มขู่รังแก เกศสุรางค์เห็นจึงเข้าไปช่วยเถียง แค่ผู้หญิงอยุธยาเถียงกับฝรั่งก็เป็นเรื่องที่ผู้คนฮือฮาตกใจลือกันไปทั่วแล้ว แต่ยังโต้เถียงกันเป็นภาษาฝรั่งเศส ชื่อของแม่หญิงการะเกดเป็นที่โจษขานกันทั่ว นับว่าดังเพียงชั่วข้ามคืน เกศสุรางค์พบว่าหมื่นสุนทรเทวาเนื้อหอมไม่ใช่ย่อย คนหนึ่งคือแม่หญิงจันทร์วาด ที่เกศสุรางค์ยกให้เป็น กิ๊ก ของคุณพี่หมื่น เนื่องจากแม่หญิงจันทร์วาดรู้ว่าหมื่นสุนทรเทวานั้นเป็นคู่หมายของการะเกด แต่ยังมีทีท่าทอดสะพานอยู่เนือง ๆ ฝ่ายแม่หญิงผู้นั้นทวีความชังการะเกดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสังเกตเห็นว่าหมื่นสุนทรเทวามีสายตาผิดปกติเมื่อมองการะเกด
บุพเพสันนิวาสทำงานไปเรื่อย ๆ ความผูกพันระหว่างแม่หญิงการะเกดตัวปลอมกับขุนนางหนุ่มแห่งอยุธยาก่อตัวขึ้นทีละน้อย ๆ ทีท่านั้นต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจ แต่ปากแข็งใจแข็งไม่ยอมรับทั้งคู่ จนวันหนึ่งที่ทั้งคู่ต้องออกเรือนกัน คนที่เสียใจที่สุดคือแม่มะลิ จึงตัดสินใจรับปากจะแต่งงานกับหลวงสุรสาคร เกศสุรางค์ไปงานแต่งงานด้วย และในวันนั้นเองจึงได้รู้ว่าหลวงสุรสาคร คือ คอนสแตนติน ฟอลคอน หรือ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ ส่วนแม่มะลิคือ มารี เดอ กีมาร์ หรือ ท้าวทองกีบม้า บุคคลสำคัญสองคนในประวัติศาสตร์ไทยนั่นเอง
วันหนึ่งเกศสุรางค์ก็ไปได้ยินฟอลคอนคุยกับพวกฝรั่งเศส ว่าจะเผาตลาดแล้วโยนความผิดให้ทหารไทย แล้วในขณะนั้นฟอลคอนเกิดได้กลิ่นน้ำอบของผู้หญิงไทยเข้า จึงรู้ว่ามีใครบางคนอยู่ในบริเวณนั้นก็เลยตามหา และไล่ยิงเกศสุรางค์ จนเธอเกือบจะถูกยิง แต่พ่อเดชมาช่วย และพาหนีไปได้ทัน พ่อเดชทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงเกศสุรางค์มากที่ทำตัวเสี่ยงเกินไป จนเขาโพล่งความในใจที่มีต่อหญิงสาวออกมาว่าเขารักเธอ ทำเอาเกศสุรางค์อึ้งไปเลย ใจหนึ่งเธอก็ดีใจที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขา แต่อีกใจเธอก็ต้องหักห้ามใจตัวเอง เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งเธอก็จะต้องกลับไปยังโลกของเธอ และเธอเคยปฏิญาณแล้วว่าเธอจะรักเรืองฤทธิ์ผู้เดียวไปตลอดชีวิต ที่สำคัญก็คือว่าพ่อเดชเป็นคนรักของแม่หญิงการะเกด ไม่ใช่ของเธอ เกศสุรางค์จึงทำเป็นไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่ารักจากพ่อเดช มิหนำซ้ำยังขอให้การแต่งงานเลื่อนออกไป นั่นสร้างความเสียใจให้กับพ่อเดชมาก เพราะเขาคิดไปว่าแม่หญิงการะเกดไม่ได้รักเขาเลย หารู้ไม่ว่าเกศสุรางค์เองก็ต้องหักห้ามใจตนเองเหมือนกัน
วันหนึ่งเกศสุรางค์เข้าไปในห้องทำงานของออกญาโหราธิบดี แล้วเกศสุรางค์ก็เห็นพานอะไรบางอย่างอยู่บนหลังตู้จึงหยิบมาดู โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือบทสวดมนต์กฤษณะกาลี เกศสุรางค์แตะมือลงไปวิญญาณของเธอก็กระเด็นหลุดจากร่างของแม่หญิงการะเกดทันที ! พ่อเดชกลับมาถึงเรือนพอดี จึงได้เห็นวิญญาณของเกศสุรางค์ยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างของแม่หญิงการะเกดที่นอนไร้ลมหายใจอยู่บนพื้น ก่อนที่วิญญาณของหญิงสาวผู้นั้นจะเลือนหายไป พ่อเดชปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมามีวิญญาณของหญิงสาวผู้อื่นอยู่ในร่างของการะเกด ส่วนทางด้านวิญญาณของเกศสุรางค์นั้นก็หลุดล่องลอยไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย เกศสุรางค์ร้องไห้ด้วยความกลัวจับใจ และในขณะที่มิติของทั้งสองโลกบรรจบกัน วิญญาณของเธอได้กลับไปยังโลกปัจจุบัน และได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเรืองฤทธิ์ก็รักเธอมากเสียจนขอบวชตลอดชีวิต
เกศสุรางค์ซาบซึ้งใจมาก แล้วขณะที่จ้องพระเรืองฤทธิ์อยู่นั้น เธอก็เห็นเงาสะท้อนของพ่อเดชอยู่ในร่างของเรืองฤทธิ์ เธอจึงเข้าใจแล้วว่า แท้จริงแล้วเรืองฤทธิ์ก็คือพ่อเดชมาเกิดใหม่ แล้วไม่เพียงเท่านั้น เกศสุรางค์ยังได้พบกับแม่หญิงการะเกดที่มาในสภาพที่สวยงาม อันเป็นผลจากบุญที่เกศสุรางค์ทำให้อยู่เรื่อย ๆ การะเกดมาขอบคุณเกศสุรางค์ และมาอนุญาตให้เกศสุรางค์ใช้ร่างของเธอได้ เพราะเธอหมดบุญแล้ว ส่วนเกศสุรางค์นั้นก็ได้หมดบุญในชาติปัจจุบันเช่นกัน แต่กลับไปเกิดใหม่ในชาติอดีตแทน เพื่อที่จะได้ไปครองรักกับเนื้อคู่ของเธอซึ่งก็คือขุนศรีวิศาลวาจา หรือพ่อเดช นั่นเอง เมื่อวิญญาณของแม่หญิงการะเกดเลือนหายไปแล้ว เกศสุรางค์ก็ได้ยินมนต์กฤษณะกาลีอีก เธอรู้ว่าไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตในชาติปัจจุบันได้อีกแล้ว จึงกลับไปกราบลาแม่กับยาย และร้องไห้แทบจะขาดใจก่อนจะกลับเข้าไปในร่างของแม่หญิงการะเกด

เมื่อร่างของการะเกดฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง พ่อเดชที่ร่างกายอิดโรยมากจากการนั่งท่องมนต์มาหลายวัน ก็สวมกอดร่างของเธอเอาไว้แน่น และกระซิบบอกข้างหูของเกศสุรางค์ว่า...ไม่ว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน แต่ให้รู้เอาไว้ว่าเธอคือแม่หญิงที่เขาจะรักตลอดไป เกศสุรางค์ดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป และเธอก็ไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะรักเขาอีกต่อไป เพราะพ่อเดชเป็นเนื้อคู่ของเธอที่บุพเพสันนิวาสดลบันดาลให้ทั้งสองได้มาพบกัน ติดตามชมละคร บุพเพสันนิวาส ได้ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.15 น. ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ละคร บุพเพสันนิวาส เริ่มตอนแรกวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561

บทประพันธ์โดย : รอมแพง
บทโทรทัศน์โดย : ศัลยา
กำกับการแสดงโดย : ภวัต พนังคศิริ
ผลิตโดย : บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ควบคุมการผลิตโดย : อรุโณชา ภาณุพันธุ์

บุพเพสันนิวาส นักแสดงนำดังนี้

ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ รับบท พ่อเดช/หมื่นสุนทรเทวา
ราณี แคมเปน รับบท เกศสุรางค์/การะเกด
หลุยส์ สก๊อตต์ รับบท หลวงสุรสาคร/คอนสแตนติน ฟอลคอน
สุษิรา แอนจิลีน่า รับบท แม่มะลิ/ตองกีมาร์
ปรมะ อิ่มอโนทัย รับบท เรืองฤทธิ์/พ่อเรือง/หมื่นเรืองราชภักดี
กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล รับบท แม่หญิงจันทร์วาด
นิรุตติ์ ศิริจรรยา รับบท ออกญาโหราธิบดี
ชไมพร จตุรภุช รับบท คุณหญิงจำปา
สุรศักดิ์ ชัยอรรถ รับบท โกษาเหล็ก
ชาติชาย งามสรรพ์ รับบท โกษาปาน
ศรุต วิจิตรานนท์ รับบท พระเพทราชา
จิรายุ ตันตระกูล รับบท หลวงสรศักดิ์
วัชรชัย สุนทรศิริ รับบท ชีปะขาว
รมิดา ประภาสโนบล รับบท แย้ม
จรรยา ธนาสว่างกุล รับบท ผิน
วิศรุต หิมรัตน์ รับบท จ้อย
อำภา ภูษิต รับบท ปริก
วิมลพันธ์ ชาลีจังหาญ รับบท จวง
ปวีณา ชารีฟสกุล รับบท สิปาง
บรรเจิดศรี ยมาภัย รับบท คุณยายนวล
วิศววิท วงษ์วรรณลภย์ รับบท หลวงศรียศ
ซูซานน่า เรโนล รับบท คลาร่า
ไชย ขุนศรีรักษา รับบท ฟานิก

ณฐณพ ชื่นหิรัญ รับบท ศรีปราชญ์


















































































Land on sale(Phnom Penh)

ยอดนิยมมากทีสุด